จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความรู้สึกที่ลองกินขนมอินเดีย


ความรู้สึกที่ไปชิมขนมอินเดีย

            ฉันได้มีโอกาศไปทานขนมอินเดียที่ร้าน panjab sweet ตรงข้าง ห้างที่เค้าเรียกกันว่า อิมพีเรียล อินเดีย ครั้งแรกที่เดินเข้าไป เจ้าของร้านก็ต้อนรับอย่างดี เค้าบอกว่าลองเข้ามาดูได้ ไม่ซื้อก็เข้ามาดูได้
                     




เจ้าของร้านเป็นคนอินเดียแต่พูดภาษาไทยคล่องดีค่ะ ด้วยท่าทางที่เป็นมิตร ไม่รู้สึกเกร็งเลยเมื่ออยู่ในร้าน เจ้าของร้านเค้าให้ชิมทุกอย่างเลย แล้วก็เลยซื้อกลับหลาย ๆ อย่าง

ความรู้สึกที่ได้ชิมขนม : ขนมของอินเดียสีสันค่อนข้างฉูดฉาด สวยงาม มีการแปะ แผ่นเงินเปลวด้วย น่าตาของขนมไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อลองทานแล้วรสชาติหวานมาก ๆๆ หวานนมข้น และหอมนมมาก ๆ


อันนี้ ชื่อว่า ดอกกุหลาบจามุน  รสชาติ หวานมาก  มีหลายสี สีขาวจะหวานที่สุด

  แล้วมี ลาดูฟ ขนมไหว้พระพิฆเนศ ก็ได้ลองชิม ก็หวานน้อยกว่า จามุนหน่อยนึง ชิมอีกเป็นสิบกว่าอย่างจำชื่อไม่ค่อยได้แล้ว แต่อย่างนึงที่สังเกตุได้ว่า ขนมของอินเดียเค้ามีเอกลักษณ์ คือ รสชาติที่หวานนมข้น หอมนม และสีสันที่สวยงาม ก็ถือว่าประทับในระดับนึงเลยค่ะ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สินค้าส่งออกของไทย

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

                      
      ปัจจุบันอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีอัตราการขยายตัวสูง  เนื่องจากได้รับ
การยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการดำรงชีวิตประจำวัน  แต่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น  พิจารณาจากจำนวนผู้ผลิต  และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์  ซึ่งทำให้ผู้ผลิตต้องแข่งขันโดยการที่ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ประกอบกับต้องแสวงหาตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น    เพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายให้มีช่องทางมากยิ่งกว่าจะพึ่งเพียงตลาดภายในประเทศเท่านั้น

            


การผลิต

           ในอดีตเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา  บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้นำเข้าจากต่างประเทศ  คือ  ประเทศญี่ปุ่น  แต่ในระยะต้นๆ  ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากคนไทยเท่าใดนัก  จากเหตุผลด้านรสชาติและราคา  ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีการผลิตและการวิจัยตลาด  ทำให้เกิดการยอมรับในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป  ประกอบกับภาวะการครองชีพและวิถีชีวิตของคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบตะวันตกมากขึ้น    ความสะดวกรวดเร็วและราคาที่เหมาะสม  เป็นปัจจัยที่ถูกใช้เป็นตัวเลือก  ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นทางเลือกสำหรับการบริโภคมากยิ่งขึ้น  และนับวันยิ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของปัจจุบันมีผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลายรายโดยมีเครื่องหมายการค้าที่สำคัญๆ
 

            
ตลาดนำเข้า - ส่งออก

     การนำเข้า การนำเข้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยส่วนใหญ่นำเข้าเพื่อ สนอง
ความต้องการของชาวต่างประเทศที่อาศัยหรือทำงานในประเทศไทยซึ่งมีอำนาจซื้อค่อนข้างสูง ได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี ปริมาณและมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเปรียบเทียบกับการส่งออก แต่หากพิจารณาการนำเข้าวัตถุดิบ เช่น แป้งสาลี ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ และข้าวสาลี ที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาผลิตเป็นแป้งสาลีอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งประเทศไทยไม่สามารถผลิตข้าวสาลีได้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

      การส่งออก มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยมีการขยายตัว
ค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจในปี 2540 แต่การส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ยังขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ ในปี 2540 มูลค่าการส่งออก 5,531.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2539 ที่มีมูลค่าส่งออก 4,814.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 และในปี 2542 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 6,778.3 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2541 ที่มีมูลค่า 5,868 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ซึ่งเมื่อเฉลี่ยอัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกแล้วเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 12.3 ต่อปี ปัจจุบันเมื่อพิจารณามูลค่าส่งออก 6 เดือนแรกของปี 2544 ที่มีมูลค่า 3,939.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2543 ประมาณร้อยละ 17.3 เนื่องจากความต้องการบริโภคในตลาดโลกมีมาก ประกอบกับประเทศไทยมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย สามารถผลิตได้ในปริมาณสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ จึงเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ เครื่องหมายการค้าของผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ส่งออกมีทั้งยี่ห้อที่จำหน่ายในประเทศและยี่ห้อที่ผลิตเพื่อส่งออกโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ฟันแลนด์ (Funland) ซันไชน์ (Sunshine) ไทยเชฟ (Thaichef) และเมนเดเก้ (Mendake) เป็นต้น

       ตลาดส่งออกของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ได้เปลี่ยนแปลงไปจากในช่วงปี 2537-2538 ที่มีสหรัฐอเมริกา เป็นตลาดที่มีส่วนแบ่งตลาดส่งออกสูงที่สุด คือ ประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่าส่งออกรวม รองลงมา ได้แก่ อาเซียน ยุโรป และญี่ปุ่น ร้อยละ 14, 7.5 และ 9 ต่อมาในช่วงตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน ตลาดส่งออกหลักของไทย คือ อาเซียน คือประมาณร้อยละ 22 ของมูลค่าส่งออก รองลงมา คือ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ร้อยละ 18, 17 และ 11 ซึ่งจะเห็นได้ว่าการกระจุกตัวของตลาดส่งออกมีมากขึ้น และได้เปลี่ยนแปลงจากตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดอาเซียนแทน เนื่องจากต้นทุนการขนส่งต่ำกว่า ประกอบกับรสนิยมของการบริโภคไม่แตกต่างกันมากนัก จึงทำให้มูลค่าการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตลาดอาเซียนขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน

ปัญหาและอุปสรรค


      1. การแข่งขันในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีความรุนแรงโดยเฉพาะตลาดระดับกลางจึงทำให้บริษัทรายใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ยาก

      2.บริษัทผู้ผลิตมีค่าใช้จ่ายสูงในต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเครื่องจักรที่ต้องนำเข้าจากต่าง
ประเทศ ค่าใช้จ่ายทางการตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและแปลกใหม่เพื่อจูงใจลูกค้าลุกค้า

      3.ค่าแรงงานในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิต และมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของชาวต่างชาติในการเข้ามาลงทุนผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยได้

      4.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีอายุประมาณ 6 เดือน หากการระบายสินค้าไม่ทันก็จะเกิดต้นทุนสูญเปล่า เพราะผู้ผลิตต้องเก็บสินค้าหมดอายุจากตลาดเพื่อรักษาภาพพจน์
      5.ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ภาชนะบรรจุที่ทำจากโฟมและพลาสติกซึ่งย่อยสลายได้ยาก จึงมีการรณรงค์ให้ใช้โฟมที่ไม่ทำลายโอโซนแทน

  

การวิเคราะห์  SWOT ของข้าวและอุตสาหกรรมแปรรูปข้าว



จุดแข็ง (STRENGH : S)     

     
      1) วัตถุดิบส่วนใหญ่สามารถหาได้จากในประเทศ ศักยภาพในการผลิตวัตถุดิบสูง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรและมีประสบการณ์ในการเพาะปลูกสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ยกเว้น ข้าวสาลี

     2) ต้นทุนค่าแรงงานยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว

     3) ผู้ประกอบการมีประสบการณ์ในการผลิตยาวนาน มีการวิจัยตลาดเพื่อวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ โดยเฉพาะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป



จุดอ่อน (WEAKNESS : W)     


1) แม้ว่าวัตถุดิบจะใช้ในประเทศ แต่ต้นทุนการผลิตวัตถุดิบก็มีแนวโน้มสูงขึ้นจึงทำให้ผู้ผลิตวัตถุดิบเป็นกลุ่มประชากรที่มีสัดส่วนในรายได้ประชาชาติต่ำกว่าที่ควร

      2) การแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าวยังมีน้อย มีผลงานการวิจัย แต่ไม่สามารถพัฒนาในลักษณะเชิงพาณิชย์ได้มากนัก

      3) ขาดองค์กรเฉพาะทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปข้าวและเทคโนโลยีการผลิต
ที่ชัดเจน และองค์กรเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบไม่เข้มแข็ง 





โอกาส (OPPORTUNITY : O)


     1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและวิจัยตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอาหารเช้าที่ทำจากธัญพืช (ซีเรียล) อาหารสำเร็จรูปที่มีข้าวเป็นส่วนประกอบ เส้นหมี่และขนมอบกรอบ และต้องพิจารณาการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตอย่างประหยัดต่อขนาดด้วย

      2) ควรมีการเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้เพิ่มมากขึ้น อันจะนำมาซึ่งเทคโนโลยี
การผลิตที่ทันสมัย และเพิ่มปริมาณการส่งออกในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามที่ตลาดต้องการได้ ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญกับตลาดจีน ซึ่งควรหาผู้ร่วมทุนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติ

     3) การพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวสาลีในประเทศ เพื่อสนองกับความต้องการในประเทศและลดการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศ จะทำให้ความมั่นคงในการผลิตมีมากขึ้น


ข้อจำกัด (THREAT : T)

     1) การส่งออกข้าวและผลิตภัณฑ์ยังคงมีการกีดกันการค้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งที่
เป็นมาตรการด้านภาษี ในรูปของการกำหนดให้เป็นรายการที่ต้องขออนุญาตนำเข้า รวมทั้งกีดกันในรูปการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูง โดยบางประเทศจัดเก็บภาษีนำเข้าแบบก้าวหน้าหรือขั้นบันไดตามลำดับขั้นตอนของกระบวนการแปรรูป และบางประเทศได้ใช้มาตรการไม่ใช่ภาษี เช่น สุขอนามัยพืช และสุขอนามัยอาหาร

     2) การส่งออกยังมีปัญหาในการกำหนดราคาขายในรูปของราคา FOB เนื่องจาก
การพาณิชย์นาวีของไทยยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ยังต้องพึ่งพาเรือต่างประเทศ ซึ่งต้องประสบปัญหาการขึ้นราคาค่าระวางเรือและค่าตู้คอนเทนเนอร์ในอัตราที่สูง นอกจากนี้ยังมีปัญหาในด้านขั้นตอนการส่งออกที่ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน


     3) การขาดเทคโนโลยีในการประชาสัมพันธ์สินค้าในต่างประเทศที่ทันสมัยการขยายตลาดใหม่ๆ จึงทำได้ยากและเสียโอกาสทางการตลาด






   


วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เนเธอร์แลนด์(Netherlands)

ความเป็นมาประเทศเนเธอร์แลนด์



        เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Nederland ; อังกฤษ: the Netherlands) หรือที่มักเรียกกันว่า ฮอลแลนด์ (Holland) หรือ "ฮอลันดา"มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Kingdom of the Netherlands) มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Neder” หรือ “ต่ำ” เนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์เป็นที่ราบลุ่ม และพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เนเธอร์แลนด์ได้ปรับพื้นที่โดยการสูบน้ำออกจากทะเลสาบและทางน้ำต่าง ๆ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ เนเธอร์แลนด์จึงมี เขื่อน ทางระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศประสบภาวะอุทกภัย เนเธอร์แลนด์จึงมีสิ่งก่อสร้างด้านวิศวกรรมการจัดการน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก




เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์



         
            ชาวเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการค้ามาช้านาน ทั้งการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และการค้ากับประเทศในภูมิภาคอื่นของโลก สาเหตุที่ทำให้เชี่ยวชาญด้านนี้มีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ที่สำคัญคือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่านมาจากหลายประเทศในยุโรป ไปออกทะเลที่ประเทศของตน ทำให้หลายเมืองของเนเธอร์แลนด์ กลายเป็นท่าเรือ ที่สำคัญ คือ ท่าเรือรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่และมีความสำคัญทางด้านการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจึงเปิดโอกาสให้ชาวเนเธอร์แลนด์ทำการค้าได้สะดวก

                    ประการถัดมา จากการอยู่ใกล้ทะเล ทำให้มีโอกาสได้เห็นการค้าทางเรือผ่านไปมาเสมอ ทำให้เป็นแรงบรรดาลใจให้สนใจทำการค้า รวมทั้งการค้าขายทางเรือตามไปด้วย เพราะสามารถไปได้ไกลๆ จนมีการค้ากับประเทศในแถบเอเซีย และอเมริกามาแต่สมัยโบราณ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก ชาวดัตช์ต้องอาศัยการเกษตรกรรม การประมง เลี้ยงสัตว์ ไม่มีแร่ธาตุสำคัญ (น้ำมัน และกาซธรรมชาติมาค้นพบในระยะหลังๆ) ดังนั้น จึงต้องอาศัยการค้าเป็นหลัก เพื่อความอยู่รอด จนได้รับการขนานนามว่าเป็นชาตินักการค้า (Trading nation)และประสบความสำเร็จในด้านการค้ามาตลอด ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ความเชี่ยวชาญด้านการค้านั้น ดูได้จากการค้าระหว่างประเทศของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น และ ได้เปรียบดุลการค้ามาตลอดหลายปีติดต่อกัน




ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์



        ปี 2144 พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์เริ่มเข้ามาตั้งสถานีการค้าในคาบสมุทรมลายู รวมทั้งเมืองปัตตานี ซึ่งเป็นประเทศราชของไทยในขณะนั้น ต่อมาในปี 2145 เมื่อมีการก่อตั้งบริษัท Vereigde Oostindische Compangnie (VOC) หรือบริษัท Dutch East India ขึ้นในเนเธอร์แลนด์ สถานีการค้าเหล่านั้น จึงได้รวมเข้าด้วยกัน และอยู่ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานการค้า VOC ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและเนเธอร์แลนด์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่นั้น

        ปี 2147 ถือว่าเป็นปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย กับเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการ โดยคณะผู้แทนทางการทูตของเนเธอร์แลนด์ ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และแสวงหาลู่ทางขยายการค้ากับจีน โดยมีแผนร่วมเดินทางไปจีนร่วมกับคณะทูตของไทย แต่การเดินทางดังกล่าวต้องยกเลิกไป เนื่องจากเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่า อีกทั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จฯ สวรรคต เมื่อเดือนเมษายน 2148 ต่อมาในปีเดียวกัน สมเด็จพระเอกาทศรถได้ส่งคณะทูตไทย จำนวน 15 คน เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับเนเธอร์แลนด์ โดยราชทูตไทยได้เข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมอริสแห่งราชวงศ์ออเรนจ์ของเนเธอร์แลนด์ และได้ถวายพระราชสาสน์ของสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อปี 2151 เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศในยุโรปประเทศหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญทางการค้าและการเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองและการค้ากับไทย

        เมื่อปี 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เยือนเนเธอร์แลนด์ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนเนเธอร์แลนด์อย่าง เป็นทางการ เมื่อปี 2503 ต่อจากนั้น ก็ได้มีการเยือนของพระราชวงศ์ทั้งสองอย่างสม่ำเสมอ

        ในปี 2547 เป็นปีที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 400 ปี สัมพันธไมตรี ไทย – เนเธอร์แลนด์ โดยรัฐบาลไทยได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อฉลองวาระดังกล่าวในไทย และภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์โดยมูลนิธิ VOC เป็นองค์กรผู้ประสานงานจัดกิจกรรมฉลองในเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 -23 มกราคม 2547 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์เสด็จฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ มกุฎราชกุมารแห่งเนเธอร์แลนด์ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นับเป็นการเปิดศักราชแห่งการฉลองฯ และเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เนเธอร์แลนด์(Netherlands)

ความเป็นมาประเทศเนเธอร์แลนด์



             เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Nederland ; อังกฤษ: the Netherlands) หรือที่มักเรียกกันว่า ฮอลแลนด์ (Holland) หรือ "ฮอลันดา"มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (Kingdom of the Netherlands) มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Neder” หรือ “ต่ำ” เนื่องจากภูมิประเทศส่วนใหญ่ของเนเธอร์แลนด์เป็นที่ราบลุ่ม และพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของประเทศต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เนเธอร์แลนด์ได้ปรับพื้นที่โดยการสูบน้ำออกจากทะเลสาบและทางน้ำต่าง ๆ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ เนเธอร์แลนด์จึงมี เขื่อน ทางระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศประสบภาวะอุทกภัย เนเธอร์แลนด์จึงมีสิ่งก่อสร้างด้านวิศวกรรมการจัดการน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก



เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์




          ชาวเนเธอร์แลนด์ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการค้ามาช้านาน ทั้งการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และการค้ากับประเทศในภูมิภาคอื่นของโลก สาเหตุที่ทำให้เชี่ยวชาญด้านนี้มีองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน ที่สำคัญคือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่านมาจากหลายประเทศในยุโรป ไปออกทะเลที่ประเทศของตน ทำให้หลายเมืองของเนเธอร์แลนด์ กลายเป็นท่าเรือ ที่สำคัญ คือ ท่าเรือรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่และมีความสำคัญทางด้านการค้าระหว่างประเทศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกจึงเปิดโอกาสให้ชาวเนเธอร์แลนด์ทำการค้าได้สะดวก

          ประการถัดมา จากการอยู่ใกล้ทะเล ทำให้มีโอกาสได้เห็นการค้าทางเรือผ่านไปมาเสมอ ทำให้เป็นแรงบรรดาลใจให้สนใจทำการค้า รวมทั้งการค้าขายทางเรือตามไปด้วย เพราะสามารถไปได้ไกลๆ จนมีการค้ากับประเทศในแถบเอเซีย และอเมริกามาแต่สมัยโบราณ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีทรัพยากรธรรมชาติไม่มาก ชาวดัตช์ต้องอาศัยการเกษตรกรรม การประมง เลี้ยงสัตว์ ไม่มีแร่ธาตุสำคัญ (น้ำมัน และกาซธรรมชาติมาค้นพบในระยะหลังๆ) ดังนั้น จึงต้องอาศัยการค้าเป็นหลัก เพื่อความอยู่รอด จนได้รับการขนานนามว่าเป็นชาตินักการค้า (Trading nation)และประสบความสำเร็จในด้านการค้ามาตลอด ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ความเชี่ยวชาญด้านการค้านั้น ดูได้จากการค้าระหว่างประเทศของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น และ ได้เปรียบดุลการค้ามาตลอดหลายปีติดต่อกัน


ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ความสัมพันธ์ทางการทูตและการเมือง
             


             ปี 2144 พ่อค้าชาวเนเธอร์แลนด์เริ่มเข้ามาตั้งสถานีการค้าในคาบสมุทรมลายู รวมทั้งเมืองปัตตานี ซึ่งเป็นประเทศราชของไทยในขณะนั้น ต่อมาในปี 2145 เมื่อมีการก่อตั้งบริษัท Vereigde Oostindische Compangnie (VOC) หรือบริษัท Dutch East India ขึ้นในเนเธอร์แลนด์ สถานีการค้าเหล่านั้น จึงได้รวมเข้าด้วยกัน และอยู่ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานการค้า VOC ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและเนเธอร์แลนด์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่นั้น

             ปี 2147 ถือว่าเป็นปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย กับเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการ โดยคณะผู้แทนทางการทูตของเนเธอร์แลนด์ ได้เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่กรุงศรีอยุธยา เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และแสวงหาลู่ทางขยายการค้ากับจีน โดยมีแผนร่วมเดินทางไปจีนร่วมกับคณะทูตของไทย แต่การเดินทางดังกล่าวต้องยกเลิกไป เนื่องจากเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่า อีกทั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จฯ สวรรคต เมื่อเดือนเมษายน 2148 ต่อมาในปีเดียวกัน สมเด็จพระเอกาทศรถได้ส่งคณะทูตไทย จำนวน 15 คน เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับเนเธอร์แลนด์ โดยราชทูตไทยได้เข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมอริสแห่งราชวงศ์ออเรนจ์ของเนเธอร์แลนด์ และได้ถวายพระราชสาสน์ของสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อปี 2151 เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศในยุโรปประเทศหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญทางการค้าและการเมืองในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองและการค้ากับไทย

             เมื่อปี 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ เยือนเนเธอร์แลนด์ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนเนเธอร์แลนด์อย่าง เป็นทางการ เมื่อปี 2503 ต่อจากนั้น ก็ได้มีการเยือนของพระราชวงศ์ทั้งสองอย่างสม่ำเสมอ

             ในปี 2547 เป็นปีที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เนเธอร์แลนด์ เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 400 ปี สัมพันธไมตรี ไทย – เนเธอร์แลนด์ โดยรัฐบาลไทยได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อฉลองวาระดังกล่าวในไทย และภาคเอกชนเนเธอร์แลนด์โดยมูลนิธิ VOC เป็นองค์กรผู้ประสานงานจัดกิจกรรมฉลองในเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 -23 มกราคม 2547 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์เสด็จฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยเจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ มกุฎราชกุมารแห่งเนเธอร์แลนด์ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นับเป็นการเปิดศักราชแห่งการฉลองฯ และเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น


การค้าระหว่างประเทศและการตลาดระหว่างประเทศ

ความแตกต่างของการค้าระหว่างประเทศและการตลาดระหว่างประเทศ


การค้าระหว่างประเทศ(International trade)

           การค้าระหว่างประเทศ หมายถึง การแลกเปลี่ยนสินค้า และการบริการระหว่างประเทศ ประเทศใดที่จะพยายามผลิตสินค้าและบริการทุกประเภทโดยไม่มีการนำเข้าหรือส่งออก ประเทศนั้นจะพัฒนาได้ช้า และมาตรฐานการครองชีพของประชาชนจะต่ำ ถ้าพิจารณาในแง่ของบุคคลจะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น กล่าวคือ ถ้าบุคคลพยายามปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกผลไม้ เลี้ยงสัตว์ไว้บริโภคเอง ฟอกหนังสัตว์และเย็บรองเท้าไว้ใช้เอง ปลูกฝ้าย ทอผ้า  เย็บเสื้อผ้าเอง มาตรฐานการครองชีพของประชาชนนั้นจะต่ำมาก เพราะแต่ละประเทศมีทรัพยากร ความชำนาญแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคลหรือประเทศ การดำเนินนโยบายช่วยตนเองอย่างสมบูรณ์จึงเป็นไปได้ยากในทาง
          
         ปัจจุบันนี้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จำเป็นต้องติดต่อพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน  ประเทศใดที่พยายามจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศดำเนินนโยบายปิด จะพบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้นจะเชื่องช้าและมาตรฐานการครองชีพของประชาชนจะอยู่ในระดับต่ำประชาชนต้องบริโภคสินค้าและบริการที่ผลิตได้ในประเทศเท่านั้น  ไม่มีโอกาสที่จะบริโภคสินค้าและบริการที่จำเป็นในการครองชีพ

 ประโยชน์ของการค้าระหว่างประเทศ
     
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบเปิดมีการติดต่อค้าขายกับนานาประเทศอย่างกว้างขวางภายใต้ระบบเศรษฐกิจเปิดการค้าระหว่างประเทศ จะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจหลายประการ ดังนี้
        1. การแบ่งงานกันทำ (Division of Labor) เมื่อมีการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศแต่ละประเทศจะเลือกผลิตสินค้าที่ตนถนัด เช่น ไทย เลือกผลิตข้าว มันสำปะหลัง สิ่งทอ ญี่ปุ่น จะเลือกผลิตเครื่องยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น
        2. ความชำนาญเป็นพิเศษ (Specialization) การผลิตสินค้าที่ถนัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จะก่อให้เกิดความชำนาญ
        3. ประสิทธิภาพ (Productivity) การผลิตสินค้าด้วยความชำนาญทำให้สินค้ามีคุณภาพสูง
        4. ปัจจัยการผลิตเอื้ออำนวย (Factors Endowment) แต่ละประเทศจะเลือกผลิตสินค้าที่สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในประเทศอย่างเหมาะสม




การตลาดระหว่างประเทศ

             การตลาดระหว่างประเทศ คือ การทำธุรกิจค้าขายอันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและนำเสนอคุณค่าที่อยู่ในรูปของสินค้าและบริการให้กับลูกค้าข้ามพรมแดนทางรัฐศาสตร์จากประเทศหนึ่งสู่ตลาดระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อการหาตลาดใหม่ เพื่อแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อยู่ในตลาดระหว่างประเทศ โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือ ธุรกิจต้องการรายได้ที่เป็นเงินจากลูกค้าในตลาดระหว่างประเทศ
           
             การตลาดระหว่างประเทศจึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการตลาดภายในประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้นธุรกิจจะประสบความสำเร็จในตลาดระหว่างประเทศได้นั้น การตลาดระหว่างประเทศไม่ใช่เพียงแค่การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน การตลาดระหว่างประเทศไม่ใช่แค่การดำเนินการทางการตลาดโดยใช้หลักการตลาดพื้นฐานทั่วไป ที่ธุรกิจเคยใช้มาในตลาดภายในประเทศแล้วประสบความสำเร็จ เช่น การใช่ส่วนประสมทางการตลาด (Product, Price, Place and Promotion) ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในตลาดระหว่างประเทศ บางตลาดเลยก็เป็นได้ เนื่องจากตลาดภายในประเทศกับตลาดระหว่างประเทศจะมีความแตกต่างของปัจจัยต่างๆ อยู่เป็นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่นักการตลาดระหว่างประเทศต้องระลึกถึงเสมอก็คือ วิธีที่จะสร้างความสำเร็จทางการตลาดทั้งตลาดภายในประเทศรวมถึงตลาดระหว่างประเทศนั้น นักการตลาดต้องค้นหาวิธีที่จะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความพึงพอใจให้ตลาดหรือธุรกิจต้องค้นหาวิธีที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ธุรกิจจึงจะพบกับความสำเร็จทางการตลาด